Pretty Pat

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยวเชียงคาน

  เชียงคาน ผมมีโอกาสมาเยือนที่นี่ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2550 ผมมากับพ่อแม่ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเท่าที่จำความได้ผมไม่เคยเห็น
พ่อกับแม่ไปไหนเลย นอกจากจังหวัดบ้านของตัวเอง นี่จึงเป็นการเดินทางไปจังหวัดอื่นๆครั้งแรกในชีวิตของท่านทั้ง 2 คน ความจริงผม
มาทำงานแต่อยากพาท่านมาเที่ยวด้วย รู้สึกอุ่นใจไม่น้อยที่มีทั้ง 2 คนเดินทางมาด้วย
       ครั้งที่สอง ผมมากับคนคนนึง เป็นการเที่ยวด้วยกันครั้งแรกของเรา 2 คนและก็เป็นครั้งสุดท้ายอีกเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึก
ประทับใจกับสถานที่เลือนหายไป ทันทีที่เดินทางมาถึงเชียงคาน ผมก็มีความรู้สึกว่าชีวิตของเราเดินช้าลง ไม่ต้องไปเร่งรีบกับชีวิตให้วุ่นวาย
ใช้จักรยานแทนรถเครื่อง อาคารไม้เก่าแก่ดูเ็็ป็นเสน่ห์ดึงดูดแรกๆ ที่คนมาเที่ยวเชียงคานนึกถึง เดินไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้มและมิตรไมตรี
ีของผู้คนที่นี่ที่พร้อมต้อนรับบุคคลแปลกหน้าอย่างสม่ำเสมอ
      เชียงคาน ไม่ได้มีเพียงแต่บ้านเรือนเก่าคลาสสิค แต่ยังมีสิ่งยึดเหนี่ยวของชาวบ้านที่นี่อีกมากมาย นั้นก็คือวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน จากเชียงคาน - ปากชมประมาณ 6 กิโลเมตร พระพุทธบาทภูควายเงินเป็นรอยพระพุทธบาทประดิษฐานบน
หินลับมีด ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อพ.ศ. 2478 รอยพระพุทธบาทภูควายเงินเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านในแถบนี้มาก
ทุกปีในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 3 ทางวัดจะจัดงานสมโภชประจำปีถือเป็นงานสำคัญของชาวบ้านในแถบนี้ วัดศรีคุณเมือง วัดเก่าแก่คู่เมือง
เชียงคาน สวยงามด้วยศิลปะที่ผสมผสานระหว่างล้านนาและล้างช้าง หรือจะไปชมซุ้มประตูวิหารทรงโค้งแปลกตาที่ วัดโพนชัย หรือ
วัดท่าแขก ที่อยู่บนเส้นทางที่จะไปแก่งคุดคู้ ก็มีความงามไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะเป็นวัดเก่าแก่โบราณ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ปัจจุบันเป็น
วัดธรรมยุต ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มาก
  พาหนะที่พวกเราใช้ตลอดการอยู่ที่นี่ก็คือจักรยาน ซึ่งก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัวและช่วยลดภาวะโลกร้อน ไม่เฉพาะพวกเราเท่านั้น
ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็ยังอนุรักษ์ไว้ มีบ้างที่เปลี่ยนเป็นรถเครื่อง ซึ่งเป็นไปตามกาลเวลาตามนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ แต่ก็ไม่ได้มาก
มายจนทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป เพราะถึงแม้สิ่งต่างๆจะหมุนเวียนไปตามโลก แต่ความสงบของเชียงคาน ก็ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่าง
ดีไม่เสื่อมคลาย ระหว่างที่ปั่นจักรยานชมความงามของเมืองเชียงคาน สายตาของผมก็ได้สัมผัสกับสภาพบ้านเรือนของที่นี่ ที่ต่างยังคงเป็น
แบบเรือนไม้ดั้งเดิม อาจมีบางหลังที่แปรสภาพเป็นปูนไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้การมาเยือนของผม
สนุกสนานกับการได้บันทึกความทรงจำไว้เป็นภาพถ่าย และมีความสุขที่ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์บันทึกภาพแต่ละใบ บ้านเรือนแต่ละหลังก็จะ
มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เก่ามากบ้าง เก่าน้อยบ้าง แต่ผมกลับคิดว่า นี่แหละคือเสน่ห์ของเชียงคานจริงๆ มันดูคลาสสิคและมีเสน่ห์
บ้านผมปัจจุบันก็บ้านไม้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมชอบบ้านเหล่านี้นักหนา
     กิจกรรมในช่วงเช้าที่ทุกคนพร้อมใจกันทำ นั่นคือการใส่บาตรบ้านแต่ละหลังก็จะหุงหาอาหารพร้อมสรรพ ทุกๆเช้าจะมาพระบิณฑบาตร
เดินเรียงกันเป็นภาพที่ดูน่าประทับใจยิ่งนัก ใครๆหลายคนบอกที่กรุงเทพฯก็มีภาพแบบนี้ แต่สำหรับผมกลับรู้สึกว่าที่นี่มันมีมนต์เสน่ห์อบ่าง
บอกไม่ถูก ส่วนกิจกรรมส่วนใหญ่ในยามสายของผู้เฒ่าผู้แก่ที่นี่ก็คือการมานั่งสนทนากัน มองดูชีวิตที่แปลกหน้าแปลกตาที่หมั่นแวะเวียน
มาเยือนเชียงคาน หลายชีวิตมาแล้วก็จากไป หลายชีวิตก็ทิ้งความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ย้อนกลับมาโหยหาความสงบอีกครั้งอย่างไม่มีวันเบื่อ
ชียงคาน มีเกสเฮ้าต์์หลายแห่ง ราคาแตกต่างกันไป แต่ก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เรือนแรมลูกไม้ แซมเกสเฮ้าต์์ เชียงคานเกสเฮ้าท์ และอีกมากมาย ที่ตั้งอยู่บนถนนชายโขงติดริมแม่น้ำโขง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ทั้ง 2 ครั้งผมเลือกพักที่ โฮมสเตย์ของ คุณยายศรีพรรณ ด้วยความที่แกอยู่คนเดียวแขกทุกคนที่ไปเยือนจึงเปรียบเสมือนลูกหลานที่จากบ้านไปไกลแล้วกลับมา
เยี่ยมแกอีกครั้ง คุณยายศรีพรรณ จะรู้สึกกระตือรือร้นต้อนรับแขกผู้มาเยือนทุกครั้ง จัดการหุงหาอาหาร นึ่งข้าวเหนียวใส่บาตรช่วงเช้า
ขอเพียงผ่านไปทักทายคุณยายบ้าง ก็คงจะพอคลายเหงาให้แกได้ไม่น้อย

http://www.paiduaykan.com/

ตลาดน้ำอัมพวา


สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายริมคลองแบบสมัยก่อนโดยมีแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางสายหลักในการเดินทางแล้วละก็ ตลาดน้ำอัมพวาที่จังหวัดสมุทรสงครามแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งแห่งที่ต้องมาสัมผัสกัน

ตลาดน้ำอัมพวาแห่งนี้เป็นตลาดยามเย็น จะเริ่มต้นกิจกรรมต่างๆกันตั้งแต่เวลา 15.00น. ไปจนถึง 21.00 น. โดยประมาณ ที่นี่จะมีร้านค้าขายสินค้ามากมายหลายประเภททั้งของกิน ของใช้ เรียงรายอยู่ 2 ฝั่งคลอง อีกทั้งยังมีพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือมาขายด้วย ของที่มาขายในเรือจะเน้นของกินเป็นหลักไม่ว่าจะเป็น ปลาหมึกย่างพร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ด กุ้งแม่น้ำตัวโต หอยเซลปิ้งสดสด หรือจะเป็นพวกผัดไทยอีก 1เมนูที่ไม่ควรพลาดก็มีให้เลือกชิมกันมากมายหลายร้าน และที่ขาดไม่ได้ก็จะเป็นพวกผลไม้สดใหม่จากสวน

พวกขนมโบราณแบบไทยแท้ก็มีชิมกันหลากหลายประเภท อาทิเช่นขนมลืมกลืน ขนมชื่อแปลกแต่รสชาติถูกปาก หรือว่าจะเป็นขนมหม้อแกงที่ใส่มาในหม้อดินเผาใบน้อย ก็น่าสนใจซื้อหากลับไปลิ้มลองความอร่อยเหมือนกัน ของขึ้นชื่ออีกอย่างของจังหวัดสมุทรสงครามที่หาซื้อได้จากที่นี่ก็คือ ปลาทูนึ่งตัวอวบอ้วนจากแม่กลอง โดยจะมีสโลแกนประจำตัวด้วยว่า “ปลาทูนึ่งแม่กลองต้องหน้างอ คอหัก” จะเพราะอะไรและทำไมต้องเรียกแบบนี้คงต้องตามไปดูกัน

นอกจากจะได้อิ่มหนำกับรสชาติอาหารแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจด้วย อย่างเช่น การนั่งเรือไปไหว้พระที่วัดริมแม่น้ำแม่กลอง พร้อมกับชมบรรยากาศสองฟากฝั่งคลอง และอีกหนึ่งอย่างเมื่อได้มาถึงอัมพวาก็คือ การนั่งเรือไปดูหิ่งห้อยที่บินออกมาส่องแสงเรืองรองในยามค่ำคืน จะมีค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 60-80 บาทต่อคน หรือจะเช่าเหมาเรือเป็นหมู่คณะเลยก็ได้

สำหรับคอเพลงรุ่นเก่าจะพลาดไม่ได้เลยกับ “บ้านครูเอื้อ สุนทรสนาน” ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชม ซึ่งจะมีของใช้ส่วนตัวของครูเอื้อให้เราได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก อีกทั้งยังสามารถซื้อหาแผ่นเพลงของครูเอื้อได้อีกด้วย

ถ้าใครยังติดใจบรรยากาศคึกคักกับตลาดริมน้ำ หรืออยากจะสัมผัสความเงียบสงบในแบบบ้านพักริมน้ำที่นี่ก็ยังมีที่พักแบบโฮมสเตย์ไว้รองรับสำหรับผู้มาเยือน และถ้ามีโอกาสได้พักสักหนึ่งคืน รับรองว่าจะต้องติดใจในความมีชีวิตที่อัมพวาแห่งนี้อย่างแน่นอน

การเดินทางไปตลาดน้ำอัมพวา
รถตู้โดยสารประจำทาง สามารถขึ้นรถได้ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิทางฝั่งถนนพหลโยธิน คิดค่าบริการประมาณ 100 บาทต่อคน

รถโดยสารประจำทาง ขึ้นรถสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี มาลงที่ตลาดแม่กลอง แล้วจึงนั่งรถต่อไปที่ตลาดน้ำอัมพวา จะมีให้เลือกทั้งรถสองแถว รถโดยสารประจำทางและรถตุ๊กตุ๊ก

สอบถามเวลาเดินทางและค่าโดยสารเพิ่มเติมบริษัท ขนส่ง จำกัด http://www.transport.co.th
http://www.thailands360.com

เกาะคิวชู


คีวชู (ญี่ปุ่น: 九州 Kyūshū เก้าแคว้น ?) เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น และตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีเนื้อที่ 35,640 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 14,779,000 คน (ปี 2003)
เขตการปกครอง

ชื่อคีวชูมีความหมายตามตัวอักษรว่า "9 จังหวัด" ซึ่งหมายถึงเก้าจังหวัดดั้งเดิมในภูมิภาคไซไกโดบนเกาะ คือ ชิกุเซน ชิกุโงะ ฮิเซน ฮิโงะ บุเซน บุงโงะ ฮีวงะ โอะซุมิ และซะสึมะ
ปัจจุบันนี้ภูมิภาคคีวชู (九州地方 kyūshū-chihō) เป็นภูมิภาคทางการปกครองที่ประกอบด้วย จังหวัด (prefectures) 8 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่บนตัวเกาะคีวชูรวมทั้งหมู่เกาะโอะกินะวะด้วย ได้แก่
จังหวัดฟุกุโอะกะ
จังหวัดคะโงะชิมะ
จังหวัดคุมะโมะโตะ
จังหวัดมิยะซะกิ
จังหวัดนะงะซะกิ
จังหวัดโออิตะ
จังหวัดโอะกินะวะ
จังหวัดซะงะ
จังหวัดฟุกุโอะกะมีประชากรมากที่สุดบนเกาะ เมืองใหญ่ที่สุดบนเกาะคือเมืองฟุกุโอะกะ มีศูนย์ธุรกิจหลักกับสนามบินระหว่างประเทศเมืองที่มีเครื่องหมายโดยกฏเทศบัญญัติการปกครองของญี่ปุ่นและเป็นศูนย์กลางสำหรับเมืองที่มีอุตสาหกรรมหนัก
[แก้]เศรษฐกิจ

ผลิตภัณฑ์การเกษตรหลักเป็นข้าว ชา ยาสูบ มันหวาน และผ้าไหม ยังถูกผลิตอย่างกว้างขวาง อุตสาหกรรมหนักถูกเพ่งเล็งในทิศเหนือรอบเมืองคิตะกีวชู เมืองนะงะซะกิ และเมืองโออิตะ และรวมถึงเคมีและโลหะที่อยู่บนเกาะ

http://th.wikipedia.org

จัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม และ มหาวิหารฟลอเรนซ์


จัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม และ มหาวิหารฟลอเรนซ์

      เมื่อปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) ใจกลางเมืองเก่าของเมืองฟลอเรนซ์ได้รับเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (Unesco) เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของเรอเนสซองส์ ที่ได้เติบโตขึ้นเป็นอิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมภายใต้การปกครองของตระกูลเมดิชี (Medici) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 -16 รวมไปถึงกิจกรรมทางศิลปะที่พิเศษอันดำเนินไปในช่วง 600 ปี เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากสถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และอื่นๆในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์ 

      สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองฟลอเรนซ์นั้น จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแรกนั้นขอแนะนำให้คุณมุ่งหน้าไปยังบริเวณใจกลางเมืองเก่าของเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) จัตุรัสที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดในยุโรป โดยจัตุรัสนั้นตั้งอยู่ในใจกลางของศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองฟลอเรนซ์ 
http://travel.thaiza.com

เมืองฟลอเรนซ์


         เที่ยวเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
การท่องเที่ยวประเทศอิตาลี (Italy) หรือ สาธารณรัฐอิตาลี (Italian Republic) อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูต และมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ เกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย โดยมี กรุงโรม (Rome) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ...
เมืองฟลอเรนซ์

      เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ เมืองฟีเรนเซ (Firenze) คืออีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี ที่ http://travel.thaiza.com/ อยากแนะนำให้คุณไปเยือนสักครั้งหนึ่ง โดยเมืองฟลอเรนซ์นั้นเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟลอเรนซ์ (Firenze: FI) และแคว้นทัสกานี (Tuscany) แคว้นที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ศาสนา วัฒนธรรม และอุตสาหกรรม ของประเทศอิตาลีนั่นเอง

      เมืองฟลอเรนซ์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River) ปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากเป็นอันดับต้นๆของโลก โดยเฉพาะในช่วงยุคกลางเมืองฟลอเรนซ์ยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ในยุคกลางฟลอเรนซ์เป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์อีกด้วย
 จัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม และ มหาวิหารฟลอเรนซ์

      เมื่อปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) ใจกลางเมืองเก่าของเมืองฟลอเรนซ์ได้รับเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (Unesco) เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของเรอเนสซองส์ ที่ได้เติบโตขึ้นเป็นอิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมภายใต้การปกครองของตระกูลเมดิชี (Medici) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 -16 รวมไปถึงกิจกรรมทางศิลปะที่พิเศษอันดำเนินไปในช่วง 600 ปี เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากสถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และอื่นๆในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์

      สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองฟลอเรนซ์นั้น จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแรกนั้นขอแนะนำให้คุณมุ่งหน้าไปยังบริเวณใจกลางเมืองเก่าของเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) จัตุรัสที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดในยุโรป โดยจัตุรัสนั้นตั้งอยู่ในใจกลางของศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองฟลอเรนซ์
http://travel.thaiza.com

ประเทศอิตาลี




 https://www.google.co.th

โยะโกะฮะมะ


        โยะโกะฮะมะ (ญี่ปุ่น: 横浜市 Yokohama-shi ?) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดคะนะกะวะในประเทศญี่ปุ่น มีประชากร 3.6 ล้านคน โยะโกะฮะมะเป็นเมืองท่าที่สำคัญในญี่ปุ่นและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและเป็นสถานที่ถ่ายหนังเรื่อง"ศึกรวมพลัง 8 พี่น้องอุลตร้า"
[แก้]สถานที่ท่องเที่ยว

ศาลาอนุสรณ์ท่าเรือโยะโกะฮะมะ (Yokohama Port Opening Memorial Hall) สร้างด้วยอิฐแดงสวยงาม สถานที่แห่งนี้รอดเงื้อมมือแผ่นดินไหว ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1923 และระเบิดของสงครามโลกครั้งที่สองมาได้อย่างมหัศจรรย์ นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงยังเป็นสถานที่ราชการที่สำคัญอีกหลายแห่งรวมทั้งสำนักงานศุลกากรโยโกฮาม่า ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล
มารีนทาวเวอร์ (Marine Tower) หอคอยสูง 106 เมตร รูปทรงทันสมัยตั้งเด่นตระหง่าน ยามค่ำคืนจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาถ่ายรูปบริเวณนี้
สวนสาธารณะยะมะชิตะ (Yamashita Park) ภายในสวนมีสิ่งน่าดูหลายอย่าง และยามค่ำคืนภายในสวนฤดูที่ท้องฟ้ากระจ่าง อาจได้ยินเสียงเพลงลอยมาไม่ไกลนักจากฝั่ง
ไชน่าทาวน์หรือจูกะไก เป็นถิ่นชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเก่าแก่เกือบพอๆกับย่านท่าเรือ มีอาหารให้เลือกรับประทานมากมาย ภัตตาคารอาหารมีอยู่ราว 150 ร้าน ร้านจำหน่ายขนมหวานที่นำเข้าจากจีน และสินค้าเบ็ดเตล็ดจากที่อื่นๆ ในเอเชีย
พิพิธภัณฑ์ยามาเตะ (Yamate Museum) อยู่ไม่ไกลนักจากสุสาน จัดแสดงวิถีชีวิตชุมชนชาวต่างชาติในยุคแรกๆของที่นี่ได้อย่างแปลกตา และพิพิธภัณฑ์ยังตั้งอยู่ใกล้โรงเบียร์แห่งแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย

http://th.wikipedia.org/

ขันโตก จังหวัดเชียงใหม่














https://www.google.co.th

สวนไรซาล


http://www.nipponsysit.com

สวนไรซาล


สวนไรซาล

      สวนไรซาล (Rizal Park) หรือมีอีกชื่อว่า ลูเนตา (Luneta) เป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ของเมือง และเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ โฮเซ่ ไรซาล (Jose Rizal) ซึ่งเป็นผู้นำในการปลดแอกฟิลิปปินส์จากสเปนในช่วง ค.ศ.1896-1898 และในบริเวณเดียวกันก็เป็นจุดที่ฟิลิปปินส์ประกาศอิสรภาพเหนือสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1941 ด้วย
ป้อมซานติเอโก (Fort Santiago) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ที่เข้ามาทางปากแม่น้ำปาซิก จากอ่าวมะนิลา ป้อมแห่งนี้ถูกทำลายจากการโจมตีของกองทัพสหรัฐ ต่อมาได้บูรณะซ่อมแซมเพื่อให้เป็น “ปูชนียสถานแห่งเสรีภาพ ” (Shrine of Freedom) บริเวณรอบป้อมมีสวนหย่อม รายล้อมโดยมีรถม้าให้บริการ พาชมรอบบริเวณ บริเวณดังกล่าว ยังมีสถานที่คุมขังนักโทษ ที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำปากแม่น้ำปาซิก และส่วนหนึ่งของป้อมนี้ ถูกทำเป็นสนามกอล์ฟอย่างสวยงาม

เรื่องนี้ถูกเปิดอ่าน: 56,581 ครั้ง

http://www.nipponsysit.com

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ทุ่งทานตะวัน



https://www.google.co.th

พระธาตุนาดูน

แหล่งข้อมูล: thai.tourismthailand.org

พระธาตุนาดูน


พุทธมณฑลแห่งอีสาน ตั้งอยู่ที่บ้านนาดูน เขตอำเภอนาดูน เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพราะบริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งของนครจำปาศรีมาก่อน โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่นและที่สำคัญยิ่งก็คือการขุดพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน และสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13-15 สมัยทวาราวดี รัฐบาลจึงอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างพระธาตุนาดูนขึ้นในเนื้อที่ 902 ไร่ โดยบริเวณรอบๆ จะมีพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม สวนรุกขชาติ สวนสมุนไพร ซึ่งตกแต่งให้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา การเดินทางจากตัวเมืองมหาสารคาม โดยใช้เส้นทางหมายเลข 2040 ผ่านอำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2045 ถึงอำเภอนาดูน ทางลาดยางตลอด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร


ความเป็นมาของพระธาตุนาดูน
     อำเภอนาดูน เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่งที่มีประวัติอันยาวนาน โดยบริเวณที่ตั้งของอำเภอนาดูนคือ เมืองจัมปาศรีที่เจริญรุ่งเรือนในสมัยทวารวดี  เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-15 ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ค้นพบมากมาย สรุปความดังนี้
     ถิ่นฐานอารยธรรมจัมปาศรีในอดีตกาล สันนิษฐานได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมา 2 ยุค คือ
1.   ยุคทวารวดี  ระหว่าง  พ.ศ. 1000-1200
2.   ยุคลพบุรี     ระหว่าง  พ.ศ. 1600-1800
     ในราวพุทธศตวรรษที่ 13-16 ภายในตัวเมืองและนอกเมืองมีเจดีย์สมัยทวารวดีอยู่ 25 องค์ (ขณะนี้ได้ขุดค้นพบแล้ว 10 องค์) เจ้าผู้ครองเมืองนครจำปาศรี นับตั้งแต่ พระเจ้ายศวรราช ได้สร้างสถานที่สักการะบูชาในพิธีทางศาสนาพราหมณ์และพุทธ เช่น เทวาลัย ปรางค์กู่ เป็นต้น  ซึ่งถือว่าได้เจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านศาสนา  วัฒนธรรม และการปกครอง จนถึงขีดสุดแล้วได้เสื่อมถอยลงจนถึงยุคอวสานในสมัยพระเจ้าฟ้างุ่มแหล่งหล้าธรณี

ค้นพบและการก่อสร้างพระธาตุนาดูน
     เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2522 ได้ขุดค้นพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สถูปทำด้วยทองสำริด แยกเป็น 2 ส่วน คือ

1.   ตัวสถูปหรือองค์ระฆัง แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตัวสถูป เป็นส่วนที่บรรจุ พระอังคาร (ขี้เถ้า) เทียนดอกไม้ ตอนคอสถูปเป็นส่วนที่บรรจุผอบพระบรมสารีริกธาตุโดยผอบจะบรรจุพร้อมกัน 3 ชั้น คือ ผอบทองคำ จะซ้อนอยู่ในผอบเงิน ผอบเงินจะซ้อนอยู่ในผอบทองสำริด ทุกผอบมีฝาปิดมิดชิด ภายในผอบทองคำมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ 1 องค์ มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวขุ่นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักครึ่ง หล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำมันจันทน์เมื่อเปิดออกมาจะมีกลิ่นหอมมาก

2.   ส่วนยอดทำด้วยทองสำริดกลมตัน ทำเป็นปล้องไฉนลูกแก้วและปลียอด ตอนต้นทำเป็นเกลียวสามารถปิดประกอบกับส่วนตัวองค์สถูปได้พอดี

     พระธาตุนาดูน จำลองแบบสถูปทองสำริดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นศิลปะทวารวดี ก่อสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2530   โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุนาดูน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530

แหล่งข้อมูล: thai.tourismthailand.org

วัดพระแก้ว

https://www.google.co.th

ปาลิโอ เขาใหญ่


Palio Khaoyai (ปาลิโอ เขาใหญ่)
สถานที่ในเขาใหญ่ที่กำลัง HIP คือ Palio หรือ ปาลิโอ ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ท่านจะได้สัมผัส Palio เขาใหญ่ในบรรยากาศอิตาลี จนเผลอคิดว่าเราอยู่ในอิตาลีจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาคารถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารถนนคนเดิน หรือสถาปัตยกรรมยุโรปโบราณแนวอิตาเลี่ยนสไตล์ที่รายล้อม แถมคำว่า Palio ยังเป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง "รางวัล" อีกด้วย


ร้านเล็กๆ น่ารักๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันมากมาย
ภายใน Palio เขาใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันมากมาย มีสินค้าแทบจะทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่น, เครื่องประดับ, เครื่องเสียง, งานดีไซน์ต่าง ๆ, ธนาคาร, ร้านขายของที่ระลึก, พืชผักปลอดสารพิษ ร้านไวน์ Coffee Shop, Pub & Restaurant, Bakery ร้านเสริมสวย Spa ร้านขายยา ร้านขายหนังสือ ศูนย์อาหาร ร้าน IT ฯลฯ โดยแต่ละร้านจะได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ และเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่กลมกลืนเข้าภูมิทัศน์ล้อมรอบที่ดำรงความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่

บรรยากาศสไตล์อิตาเลี่ยน
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ สวนหย่อม น้ำพุ ลานอเนกประสงค์สำหรับจัดการแสดงหรือดนตรี ห้องแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ แต่ถ้าอยากเต็มอิ่มกับ Palio เขาใหญ่ ก็ลองหาที่พักที่เหมาะสมกับกระเป๋าตัวเองที่มีให้เลือกหลายราคา และนี่ก็คือ Palio เขาใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวสุด Chic

http://www.phudoilay.com

กรุงโตเกียว














           https://www.google.co.th/

เมืองโตเกียว


โตเกียว (Tokyo)

        โตเกียว (東京都 Tokyo) หรือ กรุงโตเกียว เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองไว้ด้วยกัน และเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก (โดยรวมเขตปริมณฑทลแล้วมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 35 ล้านคน 35,237,000 คน) โดยเฉพาะในตัวโตเกียวใน 23 เขตปกครองพิเศษในโตเกียว แล้วมีประชากรประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ในปี 2548 โตเกียวได้รับการจัดอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก โดยในปี 2550 โตเกียวได้เป็นอันดับทีE4 รองจาก มอสโก ลอนดอน และ โซล ตามลำดับโตเกียวตั้งอยู่บริเวณภาคคันโตของญี่ปุ่น คำว่า "โตเกียว" หมายถึง "นครหลวงตะวันออก" ในพื้นที่โตเกียวยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังอิมพีเรียล

ชื่อจังหวัด
       โตเกียวเคยถูกเรียกว่าเอโดะ ซึ่งแปลว่าปากแม่น้ำ เมื่อกลายเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นในปี 1868 ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว ซึ่งแปลว่าเมืองหลวงทางตะวันออก (โต (ตะวันออก) เกียว (เมืองหลวง) ในตอนต้นยุคเมจิ โตเกียวบางครั้งถูกเรียกว่า โตเก ซึ่งเป็นวิธีอ่านอีกแบบของตัวคันจิในคำว่าโตเกียว แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว

ประวัติศาสตร์
          ปราสาทเอะโดะ หรือพระราชวังอิมพีเรียลในปัจจุบันโตเกียวแต่เดิมเป็นหมู่บ้านประมงเล็ก ที่ชื่อเอะโดะ ในปี ค.ศ. 1457 โอตะ โดกัง สร้างปราสาทเอโดะขึ้น ในปีค.ศ. 1590 โทกุงะวะ อิเอะยะสึตั้งเอะโดะเป็นฐานกำลังของเขาและเมื่อเขากลายเป็นโชกุนในปีค.ศ. 1603 เมืองเอะโดะก็กลายเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหารของเขาซึ่งมีอำนาจปกครองทั้งประเทศ ในช่วงเวลาต่อมาในยุคเอะโดะ เมืองเอะโดะก็ขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลก โดยมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคนในคริสตวรรษที 18 และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นแม้ว่าองค์กรพรรดิทรงประทับอยู่ในเกียวโต

หลังจากนั้นประมาณ 263 ปี ระบอบปกครองภายใต้โชกุนถูกล้มล้างโดยการปฏิรูปเมจิ อำนาจการปกครองจึงกลับคืนมาสู่จักรพรรดิอีกครั้ง ในปี 1869 จักรพรรดิเมจิทรงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะและเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียว โตเกียวจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และการที่จักรพรรดิทรงย้ายมาประทับจึงทำให้โตเกียวกลายเป็นเมืองหลวงอย่างเต็มตัว ปราสาทเอะโดะถูกเปลี่ยนเป็นพระราชวัง

ในยุคเมจิ โตเกียวมีการพัฒนาโดยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่นการเปิดบริการโทรเลขระหว่างโตเกียวกับโยะโกะฮะมะในปี 1869 และการเปิดบริการรถไฟสายแรกระหว่างชิมบะชิและโยะโกะฮะมะในปี 1872


ภูมิศาสตร์
         หมู่เกาะโองาซาวาระซึ่งมีจุดที่ใต้สุดและตะวันออกสุดของญี่ปุ่นกรุงโตเกียวตั้งอยู่ในที่ราบคันโตติดกับอ่าวโตเกียว มีขนาดประมาณ 90 กิโลเมตรจากตะวันออกถึงตะวันตก และ 25 กิโลเมตรจากเหนือถึงใต้ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดชิบะ ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดยามานาชิ ทิศใต้ติดกับจังหวัดคานางาวะ และทิศเหนือติดกับจังหวัดไซตามะ เขตการปกครองของโตเกียวนั้นรวมไปถึงหมู่เกาะอิสุและหมู่เกาะโองาซาวาระด้วย จึงทำให้โตเกียวมีจุดที่อยู่ใต้สุด (โอะกิโนะโทะริชิมะ) และตะวันออกสุด (มินะมิโทะริชิมะ) ของญี่ปุ่นอยู่ในพื้นที่ด้วย

ทางตะวันออกของโตเกียวเป็นที่ราบตะกอนน้ำพา เช่นบริเวณปากแม่น้ำสุมิดะ แม่น้ำเอะโดะ พื้นดินค่อนข้างอ่อนจึงทำให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดิน อ่าวโตเกียวถูกถมที่เพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ยุคเอะโดะ และเริ่มมีการถมที่เพื่อสร้างสถานที่กำจัดขยะตั้งแต่ปี 1927 ปัจจุบันพื้นที่ประมาณร้อยละ 20 ของอ่าวโตเกียวกลายเป็นพื้นที่ถูกถม ในเขตนิชิทะมะทางตะวันตกเป็นที่สูง โดยมีเขาคุโมะโทะริ ซึ่งมีความสูง 2,017 เมตร เป็นจุดที่สูงที่สุดในโตเกียว โตเกียวตั้งอยู่บนรอยเลื่อนที่มีพลังซึ่งอยู่ใกล้ผิวโลกมาก จึงมีการคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้น

ทั้งหมู่เกาะอิสุและหมู่เกาะโองาซาวาระเป็นหมู่เกาะภูเขาไฟ หมู่เกาะอิสุมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่จำนวนมาก เช่นในภูเขาไฟโอะยะมะบนเกาะมิยะเกะที่ระเบิดในปี 2000 ส่วนหมู่เกาะโองาซาวาระนั้นอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากและมีสัตว์ท้องถิ่นหลายชนิด จนบางครั้งถูกเรียกว่าหมู่เกาะกาลาปาโกสแห่งตะวันออก

ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน โตเกียวอยู่ในเขตภูมิอากาศชุ่มชื้นกึ่งเขตร้อน (Cfa) และตามการแบ่งเขตภูมิอากาศในประเทศญี่ปุ่น โตเกียวอยู่ในเขตภูมิอากาศชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีความแตกต่างระหว่างฤดูชัดเจน อากาศเปลี่ยนแปลงง่ายในแต่ละวัน ฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงและฝนตกมาก ฤดูหนาวมีวันที่แดดออกและอากาศแห้ง

โตเกียวเป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์เกาะความร้อน ซึ่งเป็นผลจากการปล่อยความร้อนโดยวิธีต่าง เช่นไอร้อนจากเครื่องปรับอากาศหรือรถยนต์ และการพัฒนาตัวเมืองทำให้มีพื้นที่สีเขียวน้อยลง


เศรษฐกิจ
        ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น
ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวโตเกียวเป็นหนึ่งในสามศูนย์กลางทางการเงินของโลกร่วมกับนครนิวยอร์กและลอนดอน โตเกียวเป็นเขตเมืองที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการสำรวจพบว่าในเขตโตเกียวซึ่งมีประชากรประมาณ 35.2 ล้านคน มีจีดีพีรวม 1.191 ล้านดอลลารEหรัฐในปี 2005 (เทียบด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) ทำให้โตเกียวเป็นเขตเมืองที่มีจีดีพีสูงที่สุดในโลกในปี 2008 มีบริษัท 47 แห่งในรายชื่อ Fortune Global 500 ที่มีฐานอยู่ในโตเกียว ซึ่งมากเป็นเกือบสองเท่าของเมืองอันดับสอง 

โตเกียวเป็นหนึ่งในศูนย์กลางหลักทางการเงินระหว่างประเทศและมีสำนักงานใหญ่ของวาณิชธนกิจและบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายแห่ง ในระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งเป็นการพัฒนาภายใต้การควบคุมจากทางการ บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งย้ายสำนักงานใหญ่จากเมืองต่างๆ เช่นโอซะกะ (ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางการค้าในอดีต) มายังโตเกียว โดยหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ติดต่อรัฐบาลได้สะดวกขึ้น แต่แนวโน้มนี้ก็ชะลอตัวลงเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นและทำให้ค่าครองชีพสูงตามขึ้นไปด้วย

การคมนาคม
        แผนที่รถใต้ดินของโตเกียวโตเกียวซึ่งเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคคันโตตอนใต้ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ทั้งทางรถไฟ รถยนต์และทางอากาศ การขนส่งมวลชนภายในโตเกียวที่สำคัญคือรถไฟและรถใต้ดินที่มีเครือข่ายกว้างใหญ่และมีระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ

ภายในโตเกียวมีสนามบินนานาชาติฮาเนดะ ซึ่งให้บริการเที่ยวบินในประเทศเป็นส่วนใหญ่และเป็นสนามบินที่มีจำนวนผู้ใช้บริการมากที่สุดในเอเชียสนามบินนานาชาติหลักคือสนามบินนาริตะซึ่งอยู่ในจังหวัดจิบะ เกาะต่างๆ ในหมู่เกาะอิสุก็มีสนามบินของตนเอง เช่นท่าอากาศยานฮาชิโจจิมะ ท่าอากาศยานมิยะเกะจิมะ ท่าอากาศยานโอชิมะ และมีเที่ยวบินมายังสนามบินฮาเนดะ แต่หมู่เกาะโองาซาวาระยังไม่มีสนามบิน เพราะมีข้อโต้แย้งว่าไม่ควรสร้างสนามบินเพราะจะเป็นอันตรายต่อธรรมชาติของเกาะ

รถไฟเป็นการคมนาคมหลักในโตเกียว ซึ่งมีเครือข่ายทางรถไฟในเมืองกว้างใหญ่มากที่สุดในโลก บริษัท รถไฟญี่ปุ่นตะวันออก จำกัดเป็นผู้ให้บริการรถไฟที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งรวมถึงรถไฟสายยะมะโนะเทะซึ่งวิ่งเป็นวงผ่านสถานีที่สำคัญของโตเกียวเช่นสถานีโตเกียว และ ชินจูกุ รถใต้ดินให้บริการโดยบริษัท รถไฟใต้ดินโตเกียว จำกัด (มหาชน) และสำนักงานการขนส่งและจราจรโตเกียว

โตเกียวมีประชากรทั้งหมดประมาณ 12.79 ล้านคนในเดือนตุลาคม 2007 ซึ่งในจำนวนนั้น 8.65 ล้านคนอาศัยอยู่บริเวณ 23 เขตปกครองพิเศษในโตเกียว ในเวลากลางวันมีประชากรเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2.5 ล้านคนเนื่องจากมีประชากรจากเมืองใกล้เคียงเดินทางเข้ามาเพื่อทำงานหรือศึกษาเล่าเรียน ปรากฏการณ์จะเป็นได้ชัดในเขตจิโยะดะ เขตจูโอ และเขตมินะโตะ ซึ่งมีประชากรมากกว่า 2 ล้านคนในเวลากลางวัน แต่น้อยกว่า 3 แสนคนในเวลากลางคืน

ในปี 2005 ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในโตเกียวมากที่สุด 5 เชื้อชาติได้แก่จีน (123,611 คน) เกาหลี (106,697 คน) ฟิลิปปินส์ (31,077 คน) อเมริกัน (18,848 คน) และ อังกฤษ (7,696 คน)

การศึกษา
         หอประชุมของมหาวิทยาลัยโตเกียวโตเกียวมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นและมีชื่อเสียงในระดับโลก เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว สถาบันเทคโนโลยีโตเกียว มหาวิทยาลัยวาเซดะ มหาวิทยาลัยนครโตเกียว มหาวิทยาลัยโชวะ มหาวิทยาลัยฮิโตะสึบาชิ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ เป็นต้น

ในแต่ละเขตมีโรงเรียนประถม และโรงเรียนมัธยมต้น ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับ โรงเรียนมัธยมปลายของรัฐบริหารโดยคณะกรรมการการศึกษาของจังหวัดโตเกียว นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนเอกชนที่เปิดสอนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลายหลายแห่ง

http://www.abroad-tour.com


ฟาร์มโชคชัย


ฟาร์มโชคชัย
ฟาร์มโชคชัยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพ-ปากช่อง กิโลเมตรที่ 159-160เป็นฟาร์มโคนม ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เปิดกิจการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรจนได้รับรางวัล แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดีเด่น รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ครั้งที่ 4 ปี 2545 ที่จะนำทุกท่านเข้าร่วมสัมผัส กลิ่นไอของการทำ ฟาร์มโคนมมาตรฐานขนาดใหญ่ในสถานที่ประกอบการจริงโดยมีผู้นำชมตลอดรายการ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่จะได้พบกับฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ ฟาร์มแห่งการเรียนรู้ โดยท่านจะได้สัมผัสกับ บรรยากาศ ประสบการณ์ และสาระความรู้ พร้อมทั้งได้รับความเพลิดเพลิน ในวิถีชีวิตของเกษตรกร มาตรฐาน ธุรกิจ ฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ อาทิ เช่น การรีดนมวัวด้วยตัวเอง การมีส่วนร่วมในการผลิต ไอศกรีมนมสด อื้ม !! มิลค์ ไอศกรีมนมสดที่ให้คุณมีส่วนร่วมในการผลิต การแสดงวิถีคาวบอย การชมลีลาของสุนัข ต้อนแกะ การป้อนนมลูกวัว ด้วยตัวเอง และอื่นๆ อีกมากมาย ในฟาร์ม โดยกิจกรรมต่างๆ จัดขึ้นบนสถานประกอบธุรกิจ ฟาร์มโคนมจริงๆใน มาตรฐานการเข้าชมแบบหมู่คณะ โดยแบ่งเป็น รอบๆ ของการให้บริการ นอกจากนี้ที่ฟาร์มโชคชัยยังให้บริการที่พัก
กิจกรรมและการแสดงต่างๆในฟาร์มโชคชัย จะแบ่งให้ชมเป็นรอบ ดังนี้
ชมวีดีทัศน์ประกอบคำบรรยายเกี่ยวกับฟาร์มโชคชัยในอดีต และทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อห้ามและข้อปฏิบัติ ภายในบริเวณฟาร์ม
ชมพิพิธภัณฑ์เครื่องจักรและรถใช้งานในสมัยที่เริ่มบุกเบิกฟาร์ม
ชมการรีดน้ำเชื้อจากโคพ่อพันธุ์ ที่แข็งแรงสมบูรณ์ในเหตุการณ์จริง และเกร็ด ความรู้ของการผสมเทียม
ชมการรีดนมโคด้วยเครื่องรีดนมอัตโนมัติและร่วมกิจกรรมรีดนมด้วยมือของตัวท่านเอง
เยี่ยมชมโรงงานผลิตนมและโรงงานผลิตไอศกรีม ท่านจะได้เรียนรู้กระบวนการผลิตนมสดพาสเจอร์ไรส์ และไอศกรีม รสชาติต่างๆ พร้อมชิมลิ้มรสไอศกรีมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของฟาร์มภายใต้ชื่อ "อืมม!... มิลค์"
นำท่านนั่งขบวนรถคาราวาน “ฟาร์มแทร็กเตอร์” ชมความยิ่งใหญ่ของฟาร์มโชคชัย บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของ 20,000 ไร่ผ่านคอกแม่โคพันธุ์ดี ฟังความรู้เกี่ยวกับพืชอาหารสัตว์และวิธีการหมุนเวียนทรัพยากรน้ำภายในฟาร์ม ชมทัศนียภาพท้องทุ่งกว้าง การปลูกพืชอาหารสัตว์ แปลงหญ้า แปลงข้าวโพดเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ บ่อหญ้าหมัก และทุ่งดอกทานตะวันซึ่งเมล็ดใช้เป็นพืชอาหารสัตว์ภายในฟาร์ม
ตื่นตาตื่นใจกับการต้อนฝูงโคแบบคาวบอย และท่านยังสามารถร่วมสนุกกับการขี่ม้าถ่ายรูปหรือจะถ่ายรูปกับทุ่งทานตะวันหรือสวนแก้วมังกร ตามแต่อัธยาศัย และชมการแสดงของคาวบอยในรูปแบบของฟาร์มโชคชัย และร่วมเล่นเกมส์ต่างๆ มากมาย
ชมความสามารถของสุนัข ในการต้อนฝูงแกะ ในรูปแบบต่างๆ ระหว่างทาง ชมฟาร์มม้าแข่งสายพันธุ์ดีจาก ต่างประเทศ
สุดท้าย เพลิดเพลินกับสวนสัตว์ขนาดย่อม ซึ่งรวมกิจกรรมหลากหลาย เช่น ป้อนอาหารกวาง  กระต่าย ป้อนนมลูกโคฯลฯ รวมทั้งการแสดงบนเวทีของสัตว์แสนรู้ต่างๆ มากมาย
รายละเอียดการเข้าชม
ค่าเข้าชม คนไทย ผู้ใหญ่ 250 บาท เด็ก 120 บาท (สูงไม่เกิน 140 ซ.ม.) - มีรถฟาร์มแทร็กเตอร์บริการ พร้อมเจ้าหน้าที่นำชม - วันอังคารถึงวันศุกร์ 10.00 น. / 14.00 น. ทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดต่อเนื่อง 09.00น. / 10.00 น. / 11.00 น. /13.00 น. / 14.00 น. / 15.00 น.
- สำรองที่นั่งล่วงหน้าก่อน 3 วัน ได้ที่ กทม. โทร. 0-2532-2846-8 ต่อ 135, 0-2523-9103
- ฟาร์มโชคชัย โทร. 0-4432-8485 ต่อ 116, 0-4432-8386 www.farmchokchai.com 


หมายเหตุ 
1. วันเวลาและกิจกรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม และอาจเปิดรอบเสริมได้ 
2. เปิดให้เข้าชมเป็นรอบ โดยมีเจ้าหน้าที่นำชม
3. หยุดทุกวันจันทร์ 
4. ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม.ครึ่งต่อ 1 รอบ
5. รับได้จำนวนจำกัดเพียง 80 ท่านต่อรอบ
www.farmchokchai.com


พระธาตุพนม


 พระธาตุพนม
    พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นเจดีย์สำคัญของภาคอีสาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ชาวไทยในภาคอีสาน ตลอดจนบริเวณฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตอนใกล้เคียง เรียก "พระเจดีย์" ว่า "พระธาตุ" เช่น พระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร พระธาตุศรีสองรัก จังหวัดเลย และพระธาตุเรณู ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระธาตุพนม พระธาตุเหล่านี้ สร้างเป็นพระเจดีย์รูปสี่เหลี่ยม ตั้งแต่ฐานขึ้นไป และพระธาตุพนม มีอายุเก่าแก่และงดงามกว่าพระธาตุองค์อื่น ๆ
     พระธาตุพนม ประดิษฐานในวัดพระธาตุพนม ซึ่งมีทำเลเป็นโคกสูงกว่าบริเวณเดียวกัน เรียกว่า "ภูกำพร้า" บางแห่งเรียกว่า "ภูก่ำพร้า"  ในเขตอำเภอธาตุพนม  จังหวัดนครพนม หน้าวัดมีซุ้มประตูใหญ่ 1 แห่ง และประตูเล็ก 2 แห่ง บนประตูมีรูปโทณพราหมณ์ กำลังตวงพระบรมธาตุด้วยทะนานทอง  เมื่อเข้าไปภายในวัดจะถึงพระอุโบสถ และวิหารคต จึงถึงองค์พระธาตุพนมจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย

พระธาตุพนมองค์นี้ ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้าง  แต่ในตำนานแห่งพระธาตุพนม กล่าวว่า พระยาสุวรรณพิงคละ พระยาคำแดง พระยาอินทปัตถะนคร  พระยาจุลนีพรหมทัต  พระยานันทเสน ช่วยกันสร้างขึ้น ตามคำแนะนำของพระมหากัสสปเถระ เมื่อ พ.ศ. 8 และในตำนานเล่มเดียวกันนี้ได้เล่าถึงวิธีการสร้างไว้ว่า  องค์พระธาตุพนมได้ก่อขึ้นด้วยแผ่นอิฐดินดิบ  และอนุญาตให้ชาวบ้านนำข้าวของเงินทอง มาบรรจุไว้ภายใน แล้วสุมไฟเผาทั้ง 4 ด้าน เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน พออิฐสุกและเย็นลงดีแล้ว ก็ได้นำพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ภายใน


      ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีหลายท่าน ลงความเห็นใกล้เคียงกันว่า พระธาตุพนมได้สร้าง เมื่อประมาณ 1,200 ปีมาแล้ว และสร้างด้วยอิฐเผา ไม่อิฐดิบสลัีกเป็นลวดลายวิจิตรพิสดาร การก่อสร้างประณีตสวยงาม ได้รับการบูรณะ จากกษัตริย์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ และทางบ้านเมืองของไทยเสมอมา ชาวท้องถิ่นเคารพบูชาพระธาตุแห่งนี้ ทุกคนช่วยกันรักษาดูแลอย่างดีที่สุด องค์พระธาตุพนมสูง 52 เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 11.25 เมตร ยอดฉัตรเป็นทองคำหนัก 10 กิโลกรัม

      11  สิงหาคม  พ.ศ.  2518  องค์พระธาตุพนม ซึ่งได้สร้างมานานถึง 1,200 ปี ก็ล้มลงท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก สร้างความเศร้าสลดใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ รัฐบาลจึงได้รีบเร่งจัดตั้งคณะกรรมการ บูรณะพระธาตุพนมให้คืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว  ระหว่างการบูรณะ ได้มีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ ที่เชื่อกันว่าเป็นพระอุรังคธาตุ บรรจุอยู่ภายในองค์พระธาตุพนม ตามตำนานอุรังคธาตุด้วย  เมื่อการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมสำเร็จเรียบร้อย สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จไปทรงยกยอดฉัตรทองคำ เมื่อวันที่ 22 ่มีนาคม พ.ศ. 2522 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี ไปทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ   ณ องค์พระธาตุพนม เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2522 หลังจากนั้นได้มีการสมโภชน์พระธาตุพนมอย่างมโหฬาร

     งานไหว้พระธาตุพนม ระหว่างวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 ถึงแรม 1 ค่ำ เดือน 3 รวม 7 วัน 7 คืน มีพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวลาว เดินทางไปร่วมงานบุญนี้อย่างเนืองแน่น และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงถวายดอกไม้เงินทองมาเป็นพุทธบูชาทุกรัชกาล

http://allknowledges.tripod.com

เมืองเวกัส


 
 
 

วังน้ำเขียว

ความเป็นมาของอำเภอวังน้ำเขียว

       วังน้ำเขียว เป็นอำเภอหนึ่งที่อยู่ตอนใต้ของจังหวัดนครราชสีมา ที่มาของชื่อวังน้ำเขียวนั้น ได้มาจากสภาพภูมิประเทศของที่นี่ เพราะพื้นที่ในแถบนี้มีวังน้ำที่ใสงดงามเป็นธรรมชาติ น้ำนั้นใสจนมองเห็นเงาสะท้อนสีเขียวของต้นไม้ จึงเรียกพื้นที่นี้ว่าวังน้ำเขียวนั่นเอง
วังน้ำเขียว มีถนนเส้นหลักที่พาดผ่านอำเภอกบินทร์บุรี จากด้าน จ.ปราจีนบุรี ผ่านวังน้ำเขียวยาวลงไปถึงปักธงชัย คือทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 304
ปัจจุบันวังน้ำเขียวมีการปกครอง แยกเป็น 5 ตำบล ตำบลต่างๆ ประกอบด้วย ตำบลวังน้ำเขียว ตำบลไทยสามัคคี ตำบลอุดมทรัพย์ ตำบลวังหมี และตำบลระเริง และมีพื้นที่ติดต่อกับ อำเภอนาดี อำเภอปักธงชัย อำเภอปากช่อง อำเภอเสิงสาง และอำเภอครบุรี

สภาพ ภูมิประเทศ และภูมิอากาศภูมิประเทศของอำเภอวังน้ำเขียว ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง เลยทำให้วังเขียวมีอากาศที่เย็นสบายเกือบ ทั้งปีฝนก็ชุก และมีหมอกมาก จะเห็นได้จากคำขวัญของอำเภอที่ว่า
"วังน้ำเขียว เมืองหนาว ภูเขามากมาย น้ำตกหลากหลาย ผลไม้นานาพันธุ์ แดนสวรรค์เมืองหมอก"
แต่ คนส่วนมากที่เคยมา เที่ยวจะกล่าวถึงวังน้ำเขียวว่าเป็น "สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน" เพราะพื้นที่และอากาศในแถบนี้คล้ายคลึงกับสวิตเซอร์แลนด์ เป็นโชคดีของคนไทยที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงยุโรปก็สามารถ สัมผัสบรรยากาศที่สวยงามได้เช่นกัน



ฤดู หนาวของวังน้ำเขียว เริ่มต้นประมาณเดือนพฤศจิกายน-มกราคม อุณภูมิก็หนาวกำลังดีประมาณ 9-18 องศา ทำให้ได้รู้สึกถึงความเป็น หน้าหนาวจริงๆส่วนหน้าฝนนั้น มีฝนตกชุก เมื่อหลังฝนตกแล้ว ส่วนใหญ่จะมีหมอกพัดมาเป็นสายอย่างชัดเจน จนบางครั้งรู้สึกว่า อยู่ในทะเลหมอกเลยทีเดียว ซึ่งภาพและบรรยากาศแบบนี้ ยากที่จะบรรยายความสวยงามออกมาเป็นคำพูดได้ ต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวท่านเอง
www.wnk.go.th

ดอยสุเทพ

ดอยสุเทพไม่เพียงแต่เป็นที่ตั้งของวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ และพระตำหนัก ภูพิงค์ราชนิเวศน์ที่ประทับช่วงฤดูหนาวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทว่าดอยสูงแห่งนี้ยังสมบูรณ์ด้วยสภาพ ธรรมชาติทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่า โดยเฉพาะนก ประกอบกับการเดินทางเข้าถึงสะดวก เพราะเชิงดอยอยู่ห่างจาก ตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 6 กิโลเมตร และบนเส้นทางขึ้นสู่ยอดดอยประมาณ 16 กิโลเมตร ก็มีสถานที่ท่องเที่ยว ต่างๆ ให้เที่ยวชมได้ตลอด ดอยสุเทพ เดิมชื่อว่า “ดอยอ้อยช้าง” สำหรับดอยสุเทพที่เรียกกันในปัจจุบันนี้เป็น ชื่อที่ได้มาจาก “พระฤาษีวาสุเทพ” ซึ่งเคยบำเพ็ญตบะอยู่ที่เขาลูกนี้เมื่อพันกว่าปีมาแล้ว
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
1.อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
นักบุญแห่งล้านนา ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่บุกเบิกสร้างถนนขึ้นไปบนดอยสุเทพ เมื่อปี พ.ศ.2477 ในสมัยก่อนการขึ้น ไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน เพราะไม่มีถนนสะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ทางเดินก็แคบๆ และ ไม่ราบเรียบ ต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพร และปีนเขาต้องใช้เวลายาวนานถึง 5 ชั่วโมงกว่าจนมี คำกล่าว ขานกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า ถ้าไม่มีพลังบุญและศรัทธาเลื่อมใสจริงๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้กราบไหว้พระธาตุ ดอยสุเทพ พระครูบาศรีวิชัย ขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีโสดา เริ่มชักชวนประชาชนสร้างทางจากเชิงดอยถึง วัดพระธาตุดอยสุเทพ รวมระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร โดยใช้เวลาสร้างประมาณ 6 เดือน ต่อมา ชาวเชียงใหม่ จึง ได้สร้างอนุสาวรีย์ ์์พระครูบาศรีวิชัยไว้เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อสักการบูชาสืบไป ใกล้กับอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย สามารถเดินไปเยี่ยมชม น้ำตกห้วยแก้วระยะทางประมาณ 300 เมตร และฝั่งตรงข้ามอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เป็นที่ ตั้งที่ทำการอุทยานแห่่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
2.วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
พระธาตุประจำปีเกิดปีมะแม เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ของนครเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนดอยสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1927 มีบันไดนาคทอดยาวขึ้นไปสู่วัด 306 ขั้นภายใน วัดเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจดีย์ ทรงมอญ ที่ใต้ฐานพระเจดีย์มีพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าบรรจุอยู่ วัดพระธาตุดอยสุเทพมีชื่อ เต็มว่า “วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพวรวิหาร” ซึ่งจัดได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่ แสดงออกถึงศิลปกรรมล้านนาไทยที่สำคัญ คู่เมืองเชียงใหม่ รอบองค์พระบรมธาตุ ประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
1. ฉัตร 4 มุม ทำด้วยทองเหลือง สร้างโดยพระเจ้ากาวิละ กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2348 มีความ หมายว่า ฉัตรเป็นสัญลักษณ์ของความร่มเย็น ซึ่งแสดงให้ถึงความสงบร่มเย็นที่ได้รับอิทธิพล มาจาก พระพุทธ ศาสนาที่แผ่ไปในทั้ง 4 ทิศ
2. สัตติบัญชร หรือ รั้วหอก ที่อยู่รอบพระธาตุ ซึ่งมีที่มาจากเหตุการณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุของโทณพราหมณ์
เมื่อภายหลังการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์แย่งพระบรมสารีริกธาตุของเมืองต่างๆ เพื่อนำไปไว้บูชาประจำเมือง โทณพราหมณ์จึงทำหน้าที่แบ่ง โดยให้ทหารถือหอกรอบล้อมพระบรมสารีริกธาตุไว้ เพื่อป้องกันการแย่งชิง จึงเป็นที่มาของรั้วหอกรอบพระบรมธาตุ
3. หอยอ ลักษณะเหมือนวิหารขนาดเล็ก ประจำอยู่ 4 ด้าน ของพระบรมธาตุ ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มีความหมายถึงการบูชาหรือสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า (ยอคุณ)
4. หอท้าวโลกบาล ซึ่งเป็นหอยอดแหลมขนาดเล็ก ประจำอยู่ 4 มุมของพระบรมธาตุ หมายถึง ที่ประดิษฐาน
ของท้าวโลกบาลทั้ง 4 ซึ่งเป็นเทพที่ปกปักรักษาสิ่งสำคัญต่างๆ 4 ทิศ ทำหน้าที่รักษาพระบรมธาตุ ได้แก่
- ท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ มียักษ์เป็นบริวาร ทำหน้าที่เฝ้ารักษาทิศเหนือ
- ท้าวธตรัฐ มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาทิศตะวันออก
- ท้าววิรูฬปักข์ มีฝูงนาคเป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาด้านทิศตะวันตก
- ท้าววิรุฬหก มีอสูรเป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาด้านทิศใต้
5. ไหดอกบัว หรือ ปูรณะฆะฏะ (ปูรณะ แปลว่า เต็ม,สมบูรณ์, ฆฏะ แปลว่า หม้อ) แปลว่า หม้อที่แสดงถึงความ สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงความเจริญรุ่งเรื่องของพระพุทธศาสนาในล้านนาไทย นอกจากนี้พระธาตุดอยสุเทพยัง เป็น จุดชมวิว ที่สามารถมองเมืองเชียงใหม่ได้เกือบทั้งเมืองโดยเฉพาะในยาม ค่ำคืนที่จะมองเห็นแสงไฟนับ หมื่นดวง ท่ามกลางความมืดของกาลเวลา เป็นภาพที่สวยงามน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง และและก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยว ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปคู่กับทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ในเบื้องล่างเพื่อเก็บภาพไว้เป็น ความทรงจำอันน่าประทับใจไม่ว่า จะเป็นช่วงเช้า สาย บ่าย เย็น หรือกลางคืน ที่นี่ก็สร้างความอิ่มใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนเป็นอย่างมาก
ประเพณีเดินขึ้นนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ
กำหนดงาน
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6พระครูบาศรีวิชัยได้เปรียบการเดินทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ ไว้ว่า เป็นเสมือนการเดินทาง ไปสู่การตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเปรียบเทียบ วัดพระธาตุดอยสุเทพ คือวัดอรหันตาลักษณะการเดินทาง จะเดินด้วยเท้า ถือประทีปธูปเทียนเป็นริ้วขบวน ประกอบด้วย พระสงฆ์เดิน นำหน้าสวดมนต์ และประชาชนเดิน ตามหลัง โดยเริ่มขบวนณ วัดศรีโสดา หรือบริเวณ อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย แล้วเดินทางขึ้นไปนมัสการ วัดพระธาตุดอยสุเทพ หลังจากนั้นก็ บำเพ็ญศีล วิปัสสนา ทำบุญตักบาตร ในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วจึงเดินทางกลับ จึงถือว่าได้อานิสงส์แรงหรือ ได้ทำบุญมากนั่นเอง
การเดินทางเข้าชมพระธาตุดอยสุเทพมี 2 ทาง คือ
- บันใดนาค เป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีความงดงามทางด้านศิลปะที่ทรงคุณค่า และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวผู้มานมัสการพระบรมธาตุ มักจะต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ด้าน ของ บันใดนาคซึ่งมีทัศนียภาพงดงามและมีเสน่ห์เมื่อมองขึ้นไปตามขั้นใด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนครั้งแรกมัก จะเดินขึ้น-ลง ลงบันใดนาคเสมอสามารถเดินทางขึ้น-ลง ได้ตลอดทั้งวัน แต่จะมีการตั้งด่านตรวจของอุทยานฯ ตั้งแต่เวลา 20.00 - 06.00 น.
- รถรางไฟฟัาเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น. ในราคาขึ้น-ลง คนละ 20 บาท(สำหรับคนไทย) และ 50
บาท (สำหรับชาวต่างชาติ) หากเดินทางไปหลังเวลา 18.00 น. ต้องขึ้นทางบันไดเท่านั้นพระธาตุเท่านั้น ข้อมูล เพิ่มเติม http://www.doisuthep.com
5. พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านความสวยงาม และมีความสำคัญยิ่ง คือ เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศา นุวงศ์ พระตำหนักแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2503 บริเวณใกล้ดอยบวกห้า ลักษณะเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทย ภายใน บริเวณพระตำหนักได้รักษา สภาพธรรมชาติไว้ รวมทั้งมีการปลูกพันธุ์ไม้ดอกชนิดต่างๆ ไว้อย่างสวยงาม พระตำหนักนี้ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 4 กิโลเมตร และเปิดให้ประชาชน เข้าชมได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ทั้งนี้จะต้องเป็นช่วงเวลาที่มิได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ซึ่งปกติจะปิดในช่วงเวลา ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนธันวาคม-ต้นเดือนมีนาคม
6. บ้านม้งดอยปุย
บ้านม้งดอยปุย ตั้งอยู่หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนประชากรประมาณ 747 คน (ข้อมูลเมื่อปี 2550) ซึ่งราษฎรส่วนมาก ประกอบอาชีพค้าขาย และบางส่วน ทำการเกษตร ภานใน หมู่บ้านมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายอย่าง ได้แก่ บ้านม้งดอยปุย บ้านม้งดอยปุย ตั้งอยู่หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนประชากรประมาณ747 คน (ข้อมูลเมื่อปี 2550) ซึ่งราษฎรส่วนมาก ประกอบอาชีพค้าขาย และบางส่วน ทำการเกษตร ภานในหมู่บ้านมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ หลายอย่าง
7. สันกู่
มื่อ ปีพ.ศ.2526 หน่วยศิลปากรที่ 4 เชียงใหม่ ได้ขุดแต่งบูรณะซากโบราณสถานสันกู่ การทำงานในครั้งนั้น เป็น ไปตามพระประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงทราบฝ่าละอองพระบาทว่า โบราณสถานแห่งนี้ถูกขุดทำลายเป็นเวลานานแล้วสมควรให้กรมศิลปากรสำรวจและบูรณะให้อยู่ในสภาพที่ดีต่อไป นับเป็นพระมหา กรุณาธิคุณต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี สภาพก่อนการขุดแต่ง เป็นเนินโบราณ สถานที่มีต้นไม้หนาแน่นเมื่อขุดลอกดินที่ทับถมออก พบซากเจดีย์และฐานวิหาร ได้ขุดลอกหลุมที่เกิดจากการ ลักลอบขุดที่ตรงฐานเจดีย์ในระดับความลึก 5.30 เมตร พบโบราณวัตถุในกรุที่สำคัญ ได้แก่ เศียรพระพุทธรูป ศิลปะแบบหริภุญไชยพระพิมพ์ดินเผา ศิลปะแบบหริภุญไชย เศษเครื่องปั้นดินเผาเป็นชิ้นส่วนกระปุกขนาดเล็ก เป็นของจีน สมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1911-2187) และการขุดแต่งส่วนอื่น พบเศษเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งเตา สันกำแพง สันนิษฐาน โบราณสถานสันกู่มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-22
8. ยอดดอยปุย
ยอดดอยปุย สูง 1,658 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นจุดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย มีอากาศเย็น สบายตลอดทั้งปี บนยอดดอยปกคลุมด้วยป่าสนเขาผืนใหญ่ และเป็นแหล่งดูนกที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง ดอยสุเทพ และดอยปุยเป็นถิ่นอาศัยของนกมากกว่า 300 ชนิด เช่น ไก่ฟ้าหลังขาว นกกางเขนน้ำหลังดำ นกศิวะปีกสีฟ้า ฯลฯ ในช่วง ฤดูหนาวยังมีนกอพยพบินย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยอีกเป็นจำนวนมาก หลายชนิดเป็นนกหายาก โดยเฉพาะ นกเขน นกจับแมลงสีคราม นกเดินดงอกลาย นกปีกแพรสีม่วง ฯลฯ

กรุงเกียวโต

เกียวโต
นครแห่งนี้เป็นเมืองหลวงและที่ประทับของจักรพรรดิญี่ปุ่นมาเกือบ 1,100 ปีจำลองแบบจากนครฉางอันเป็นเมืองหลวงของจีนในสมัย ราชวงศ์ถัง ปัจจุบันคือเมืองซีอาน โดยผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีถนนตัดกันเป็นรูปตารางและยังคงปรากฎหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน เกียวโตคือสัญญลักษณ์ความเป็นประเพณีนิยมของญี่ปุ่น เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่เก็บรักษาศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นไว้ เป็นเมืองใหญ่อันดับ 7 ของญี่ปุ่น มีจำนวนประชากร 1,400,000 คน

สถานที่สำคัญ

ศาลเจ้าเฮอันจิงงุ (Heian-jingu) สร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบปีที่ 1100 ของเกียวโต โดยอุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของนครแห่งนี้ แบบจำลองมาจากพระราชวังอิมพีเรียลองค์เดิม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่
ได้รับอิทธิพลจากจีนสูงที่สุด

วัดคิโยมิซึ (Kiyomizu-dera) มีวิหารใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียงอันเป็นเวทีร่ายรำนั้นยื่นชะโงกเหนือหุบเหว วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่านครเกียวโต สร้างในปี ค.ศ. 788 ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ ด้านหลังวิหารใหญ่คือศาลเจ้าจิชู (Jishu) ซี่งเป็นศาลที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นที่ประทับของเทพเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตสมรสที่ศาลเจ้านี้มีหินตาบอด (เมกูระอิชิ) ซึ่งห้ามเดินข้ามแต่ถ้าสาวๆจะเดินผ่านก้อนหินที่ขนาบสองข้างนั้นต้องหลับตา เชื่อกันว่าถ้าสามารถเดินท่องชื่อคนรักในใจไปได้ไกลถึง 20 เมตรแล้ว

ศาลเจ้ายาซากะจินจะ (Yasaka-jinja) หรือมีอีกชื่อว่า งิอนซัง (Gion-san) เนื่องจากอยู่ใกล้ย่านงิอน มีซุ้มประตูสร้างด้วยหินแกรนิตสูง 9 เมตร จัดเป็นซุ้มประตูที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทางด้านหลังของศาลมีทางออกสู่สวนสาธารณะมารุยามะโคเอ็น ความงามของสวนและความตระการตาของซากุระช่วงต้นเมษายนของที่นี่เป็นที่รู้จักกันดี

วัดนันเซนจิ (Nanzenji) ซึ่งเป็นวัดเซนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโตด้วย ภายในอารามประกอบด้วยโบสถ์กลาง และโบสถ์เล็ก 12 แห่ง โดยเปิดให้เข้าชมเพียง 4 แห่ง ภายในวัดคุณก็จะสัมผัสได้ถึงปรัชญาแห่งเซน เนื่องจากความกลมกลืนของหมู่สนกับสถาปัตยกรรมวัด ศิลปะการจัดสวนอย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้โน้มใจผู้มองให้คล้อยตาม
วัดงิงคะคูจิ (Ginkakuji) หรือวัดศาลาเงิน ซึ่งสร้างในปี 1489 โดยโชกุนอาชิคางะเอระ ชั้นแรกของวิหารใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีลักษณะแบบชินเด็น ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องบูชา เป็นพุทธศิบป์แบบจีน ภายในสวนมีเนินหินสีขาว สร้างขึ้นเพื่อให้จันทร์สะท้อนแสงอาบไล้ทั่วบริเวณ ตรงปีกตะวันออกเฉียงเหนือของวิหารก็จะได้พบกับห้องชงชาโบราณซึ่งจัดว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

ปราสาทนิโจโจ (Nijo-jo) เริ่มสร้างโดยเจ้าเมืองโอดะ โนบุนางะ ในปี 1569 โชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ ผู้เป็นมิตรได้สานต่อจนสำเร็จ ปราสาทแห่งนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงหินโอ่อ่าและห้องโถงสำหรับเจ้าเมืองเข้าเฝ้าโชกุนตกแต่งด้วยทองหรูหราสะท้อนถึงอำนาจโชกุนในสมัยเอโดะ ภายในปราสาทมีวังนิโนมารุ กระดานระเบียงเชื่อมหมู่อาคารของวังเป็นพื้น "นกไนติงเกล" เวลาเดินเหยียบพื้นจะมีเสียงดังเหมือนเสียงนกนี้

วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji-วัดศาลาทอง) ซึ่งรู้จักกันดีที่สุดในเกียวโต วิหารหุ้มด้วยทองคำมี 3 ชั้น โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน วัดแห่งนี้ล้อมรอบด้วยสระน้ำกว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยแมกไม้จึงมีทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง

วัดเรียวอันจิ (Ryoan-ji) ที่นี่มีสวนหินแบบเซนที่เรียกกันว่า คาเระซันซุย ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก สวนแห่งนี้คือภาพแอ็บสแตร็กซึ่งวาดด้วยโขดหินแทนน้ำหมึก หิน 15 ก้อน (มีก้อนหนึ่งซึ่งเราไม่มีวันมองเห็นได้ด้วยตา) บนผืนกรวดนั้นไม่มีใครหยั่งรู้ความหมายที่แท้จริงของมัน ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนานา หากมานั่งที่ระเบียงแล้วปล่อยใจให้ว่าง ความแห้งแล้งของภาพเบื้องหน้าจะนำพาความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดมาสู่คุณ กล่าวกันว่าเป็นการยกระดับจิตเข้าสู่ภาวะแห่งเซน

ย่านเก่างิอน (Gion) เป็นย่านเริงรมย์หรือถิ่นเกอิชาชื่อกระฉ่อนของเกียวโต ในเกียวโตเรียกเกอิชาว่า "ไมโกะ หรือ เกโกะ" สมัยโบราณคำว่าเกอิชาในเมืองเกียวโตหมายถึงผู้ให้ความบันเทิงซึ่งเป็นชายแต่แต่งกาย เป็นหญิง แต่ในเมืองโตเกียวและโอซาก้าคำนี้หมายถึงผู้ให้ความบันเทิงที่เป็นหญิง ไมโกะเป็นเด็กรุ่นสาวอายุราว 16 ปี ตรงเอวรัดผ้าแถบยาวเรียก โอบิ (obi) อันเป็นลักษณะเฉพาะ พออายุได้ 21 ปีก็ขยับฐานะไปเป็นเกโกะ แต่งชุดกิโมโนประดับประดาเต็มที่

http://www.zheza.com

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวไกล ถึง ฮอลแลนด์

ล่องเรือหลังคากระจก (Lover Boat) เรือจะล่องไปตามลำคลองของเมือง พาชมบ้านเรือนแบบชาวดัชต์ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 มีเอกลักษณ์พิเศษจะเป็นอาคารทรงแคบ ที่มีตะขออยู่ชั้นบนสุดของอาคาร เอาไว้สำหรับขนเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน ระหว่างล่องเรือผ่านบ้านเรือนแพที่อยู่ริมคลองที่มีอยู่มากถึง 2,500 หลัง แล้วไปชมเขตที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงอัมสเตอดัม ชมตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่ริมคลองอันมีเอกลักษณ์ที่สวยงามแปลกตา ซึ่งบ้านริมคลองเหล่านี้จะมีส่วนหน้าบ้านไม่กว้างมากนัก และสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสเปนผสมกับเรอเนสซองส์ ตัวตึกใช้อิฐแดงก่อแบบไม่ฉาบปูน ตกแต่งเป็นภาพปูนปั้นเทพเจ้ากรีกอย่างสวยงาม และหน้าจั่วมีไม้ยื่นออกมา เพื่อแขวนลอกไว้สำหรับขนสิ่งของเข้าบ้านทางหน้าต่าง เพราะหน้าบ้านแคบและประตูก็เล็ก และในลำคลองยังมีเรือนแพรที่เป็นที่อยู่อาศัยอีกด้วย


http://www.meetaweetour.co.th/v1/travel-info-all/europe-info/netherlands-travel/1963-lover-boat.html

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คลิปเด็กตลก

ภูเขาไฟฟูจิยามา

ภูเขาฟุจิ (ญี่ปุ่น: 富士山 Fuji-san ฟุจิซัง ?) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ และจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโตเกียว(東京都) โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจากโตเกียวได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ยุคเอะโดะ
ภูเขาฟุจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟุจิซัง" ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนเรียกว่า "ฟุจิยะมะ" เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 (山) สามารถอ่านได้สองแบบทั้ง "ยะมะ" และ "ซัง"
[แก้] ประวัติเชื่อว่ามีผู้ปีนเขาฟุจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาฟุจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟุจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ภูเขาฟุจิได้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่าง ๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมญี่ปุ่นและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมาย
ภูเขาฟุจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง]ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาฟุจิ

 http://th.wikipedia.org/wiki/


ภูเขาไฟฟูจิ

ภูเขาฟุจิ (ญี่ปุ่น: 富士山 Fuji-san ฟุจิซัง ?) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ และจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโตเกียว(東京都) โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจากโตเกียวได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ยุคเอะโดะ
ภูเขาฟุจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟุจิซัง" ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนเรียกว่า "ฟุจิยะมะ" เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 (山) สามารถอ่านได้สองแบบทั้ง "ยะมะ" และ "ซัง"

ภูเขาฟุจิ ข้อมูลการท่องเที่ยวจากวิกิท่องเที่ยว
Mount Fuji


เพลงลูกอม

เทศกาลบอลลูลที่เมืองซางะ

เทศกาลบอลลูนที่เมืองซางะ (Saga Balloon Fiesta) จัดเป็นประจำทุกปีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นเวลา 5 วัน โปรแกรมการจัดงาน ช่วงเช้าของทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-09.00 น. จะมีการแข่งขันบอลลูน(Balloon Game) ที่ส่งเข้าแข่งขันจากบริษัท ห้างร้านต่าง ๆ รวมทั้งจากประเทศอื่น ๆ ด้วย หลังจากปล่อยบอลลูนขึ้นฟ้าเสร็จแล้ว ก็จะเป็นช่วงเวลาของการเป่า บอลลูนแฟนตาเซีย โชว์เต็มท้องฟ้า
http://www.dozojapan.com/